เมล็ดโกโก้จากไทย กับต่างประเทศ ต่างกันตรงไหน?
แม้โกโก้จะเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีต้นกำเนิดในอเมริกากลาง แต่ปัจจุบันมีการปลูกกันทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่เริ่มมีการปลูกและพัฒนาโกโก้อย่างจริงจังมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่และผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างแบรนด์โกโก้ไทยให้มีเอกลักษณ์
หลายคนที่เคยดื่มโกโก้หรือลองชิมช็อกโกแลต อาจยังไม่รู้ว่า เมล็ดโกโก้จากไทย กับ เมล็ดโกโก้จากต่างประเทศ มีความแตกต่างกันในหลายด้าน ทั้งรสชาติ กลิ่น สายพันธุ์ วิธีการแปรรูป ไปจนถึงคุณค่าทางเศรษฐกิจ
1. สายพันธุ์ที่ใช้ปลูก
ในประเทศไทย
เกษตรกรไทยนิยมปลูกโกโก้พันธุ์ลูกผสม เช่น Trinitario และ Forastero ซึ่งเหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นและปลูกง่าย
นอกจากนี้ยังเริ่มมีการทดลองปลูกพันธุ์ Criollo (พันธุ์หายากและรสชาติดีเยี่ยม) ในบางพื้นที่ต่างประเทศ
ประเทศผู้ส่งออกหลัก เช่น กานา ไอวอรีโคสต์ เอกวาดอร์ และเวเนซุเอลา มีการปลูกหลากหลายพันธุ์ โดยเฉพาะ Criollo และ Trinitario ที่มีคุณภาพสูง และเป็นที่ต้องการในตลาดช็อกโกแลตพรีเมียม
สรุป: โกโก้จากไทยส่วนใหญ่มักเป็นลูกผสมที่เน้นความทนทาน ปลูกง่าย ส่วนต่างประเทศมีความหลากหลายด้านพันธุกรรม และเลือกสายพันธุ์ที่ให้กลิ่นและรสดีเป็นหลัก
2. รสชาติและกลิ่นเฉพาะตัว
โกโก้ไทย
รสชาติจะออก “สด” และ “ผลไม้” มากกว่าประเทศอื่น ๆ มี กลิ่นดิน กลิ่นเปลือกไม้ หรือกลิ่นสมุนไพรพื้นถิ่น ในบางพื้นที่ เช่น โกโก้ภาคใต้ อาจได้กลิ่นคล้ายเปลือกไม้หอม / ภาคเหนือบางส่วนให้กลิ่นออกนุ่มคล้ายชาเขียวอ่อน ๆโกโก้ต่างประเทศ
ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศ เช่นโกโก้จากเอกวาดอร์ → กลิ่นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
โกโก้จากเวเนซุเอลา → กลิ่นวานิลลา อัลมอนด์
โกโก้อาฟริกา (เช่น กานา) → กลิ่นเข้ม รสขมและมันชัด เหมาะกับช็อกโกแลตเข้ม
สรุป: โกโก้ไทยมีรสชาติท้องถิ่นเฉพาะตัว รสอาจบางกว่า แต่มีคาแรกเตอร์โดดเด่น เหมาะกับการสร้างแบรนด์แบบ Craft หรือ Single Origin
3. วิธีการหมักและตาก
ของไทย
ยังมีความหลากหลายในการหมัก บางพื้นที่ยังใช้วิธีหมักแบบง่าย ๆ ในกระสอบหรือถัง ซึ่งอาจให้กลิ่นและรสไม่สม่ำเสมอ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา
เกษตรกรบางกลุ่มเริ่มใช้วิธีหมักมาตรฐาน เช่น การหมักในกล่องไม้แบบขั้นบันได (tiered box) และควบคุมอุณหภูมิ-เวลาอย่างแม่นยำของต่างประเทศ
มีระบบการหมักที่สม่ำเสมอ ใช้มาตรฐานระดับอุตสาหกรรม ทำให้ได้คุณภาพคงที่ กลิ่นรสชัดเจน และสามารถส่งออกในปริมาณมาก
สรุป: โกโก้ไทยยังมีโอกาสพัฒนาเรื่องการหมักให้ได้คุณภาพสม่ำเสมอ และถือเป็นจุดแข็งถ้าเน้นแนวคราฟต์ที่ใส่ใจในแต่ละล็อต
4. ความสดใหม่
โกโก้ไทย
ได้เปรียบเรื่อง “ความสดใหม่” เพราะสามารถเก็บผลผลิต แปรรูป และส่งต่อให้ผู้บริโภคภายในไม่กี่วัน ทำให้มีรสชาติชัดและกลิ่นหอมไม่สูญเสียโกโก้นำเข้า
มักต้องใช้เวลาในการขนส่งยาวนานหลายเดือน อาจทำให้บางส่วนสูญเสียกลิ่นหอมตามธรรมชาติ หรือมีการรมยากันรา ซึ่งกระทบกับรสชาติ
5. ด้านราคาและตลาด
โกโก้ไทย
ราคายังไม่สูงเท่าโกโก้พรีเมียมในตลาดโลก แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีผู้สนใจในตลาด Single Origin และการสนับสนุนจากภาครัฐมากขึ้นโกโก้ต่างประเทศ
หากเป็นโกโก้ระดับพรีเมียม เช่น Criollo จากเวเนซุเอลา ราคาสูงมาก เหมาะกับตลาดช็อกโกแลตหรู หรือแบรนด์ที่เน้นความเฉพาะของแหล่งปลูก
6. ความยั่งยืนและความเป็นท้องถิ่น
โกโก้ไทยยังมีศักยภาพสูงในการพัฒนาแบบยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมจากภาคเกษตร การรวมกลุ่มเกษตรกร และการสร้างแบรนด์ชุมชน เช่น โกโก้จากเชียงใหม่ จันทบุรี นราธิวาส หรือสุราษฎร์ธานี
เมื่อเปรียบเทียบกับโกโก้ต่างประเทศที่ผลิตเชิงอุตสาหกรรม โกโก้ไทยจึงเหมาะกับการสร้างเรื่องราว (storytelling) และคาแรกเตอร์ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี
สรุป
เมล็ดโกโก้จากไทยและต่างประเทศมีความแตกต่างที่ชัดเจนทั้งในเรื่องสายพันธุ์ รสชาติ กลิ่น การแปรรูป และตลาดที่รองรับ โกโก้ต่างประเทศอาจมีความนิ่งในมาตรฐานมากกว่า แต่โกโก้ไทยได้เปรียบเรื่องความสดใหม่ รสชาติเฉพาะถิ่น และความยืดหยุ่นในการสร้างแบรนด์ Craft หรือ Local Specialty
หากผู้ประกอบการสามารถพัฒนาเรื่องคุณภาพและการเล่าเรื่องของโกโก้ไทยได้ดี ก็มีโอกาสสูงที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และผลักดันโกโก้ไทยสู่ตลาดโลกได้อย่างภาคภูมิ
แนะนําผลิตภัณฑ์ : www.purmsupenterprise.com
